ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของธอร์นไดค์
ธอร์นไดค์
(Thorndike) ซึ่งได้กล่าวว่าการเรียนรู้คือ
การที่ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมโยง (Bond) ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองจะได้รับความพึงพอใจจะทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น
ธอร์นไดค์ได้ ทำการทดลองพบว่า การเรียนรู้ของอินทรีย์
ที่ด้อยความสามารถเกิดจากการลองผิดลองถูก ( Trial and Error ) ซึ่งต่อมา เขานิยมเรียกว่าการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง การทดลองของธอร์นไดค์ ที่รู้จักกันดีที่สุด คือการเอาแมวหิวใส่ในกรงระยะแรกของการทดลองแมวจะแสดงพฤติกรรมเดาสุ่มเพื่อจะออกมาจากกรงมากินอาหารให้ได้ความสำเร็จในครั้งแรกเกิดขึ้นโดยบังเอิญ โดยที่เท้าของแมวบังเอิญไปแตะเข้าที่คานทำให้ประตูเปิดออกแมวจะวิ่งออกไปทางประตูเพื่อกินอาหารพบว่ายิ่งทดลองซ้ำมากเท่าใดพฤติกรรมเดาสุ่มของแมวจะลดลง
จนในที่สุดแมวเกิดการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคานกับประตูกรงได้เมื่อทำการทดลองซ้ำอีกต่อไปเรื่อย
ๆ แมวเริ่มเกิดการเรียนรู้โดยการลองถูกลองผิดและรู้จักที่จะเลือกวิธีที่สะดวก
และสั้นที่สุดในการแก้ปัญหาโดยทิ้งการกระทำอื่น ๆ
ที่ไม่สะดวกและไม่เหมาะสมเสียหลังจากการทดลองครบ 100 ครั้ง ทิ้งระยะเวลานานประมาณ 1
สัปดาห์แล้วทดสอบ โดยจับแมวตัวนั้นมาทำให้หิวแล้วจับใส่กรงปริศนาใหม่แมวจะใช้อุ้งเท้ากดคานออกมากินอาหารทางประตูที่เปิดออกได้ทันที
ดังนั้น จากการทดลองจึงสรุปได้ว่า แมวเรียนรู้วิธีการเปิดประตูโดยการกดคานได้ด้วยตนเองจากการเดาสุ่มหรือแบบลองถูกลองผิด จนได้วิธีที่ถูกต้องที่สุดและพบว่ายิ่งใช้จำนวนครั้งการทดลองมากขึ้นเท่าใด
ระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ปัญหาคือเปิดประตูกรงออกมาได้ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ธอร์นไดค์ได้สรุปว่า การลองผิดลองถูกจะนำไปสู่การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง
และการเรียนรู้ ก็คือการที่มีการเชื่อมโยง (Connection)ระหว่างสิ่งเร้า(Stimuli) และการตอบสนอง ( Responses
)การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกมีใจความที่สำคัญว่า
เมื่ออินทรีย์กระทบสิ่งเร้าอินทรีย์จะลองใช้วิธีตอบสนองต่อสิ่งเร้าหลายๆวิธีจนพบกับวิธีที่เหมาะสมและถูกต้องกับเหตุการณ์และสถานการณ์
เมื่อได้รับการตอบสนองที่ถูกต้องก็จะนำไปต่อเนื่องเข้ากับสิ่งเร้านั้นๆมีผลให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น
โดยมีหลักเกณฑ์และลำดับขั้นที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบนี้
คือ
1.
มีสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเป็นสิ่งเร้าให้อินทรีย์แสดงพฤติกรรมออกมา
2.
อินทรีย์จะแสดงอาการตอบสนองหลายๆอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
3. ปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ทำให้เกิดความพอใจจะถูกตัดทิ้งไป
4.
เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ทำให้เกิดความพอใจถูกตัดทิ้งไปจนเหลือปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดความพอใจ
อินทรีย์จะถือเอากิริยาตอบสนองที่ถูกต้องและจะแสดงตอบสนองต่อสิ่งเร้า( Interaction ) นั้นมากระทบอีก
ลักษณะสำคัญของทฤษฎีสัมพันธ์เชื่องโยงของ
ธอร์นไดด์ มีดังนี้
1)
ลักษณะการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก (Trial and Eror)
2)
กฎการเรียนรู้ของ ธอร์นไดด์
ธอร์นไดด์
ได้เห็นกฎการเรียนรู้ที่สำคัญ 3 กฎด้วยกัน คือ
1.กฎแห่งความพร้อม (Low
of Readiness)
2.กฎแห่งการฝึกหัด (Low
of Exercise)
3.กฎแห่งพอใจ (Low of
Effect)
1.กฎแห่งความพร้อม
กฎข้อนี้มีใจความสรุปว่า
- เมื่อบุคคลพร้อมที่จะทำแล้วได้ทำ
เขาย่อมเกิดความพอใจ
- เมื่อบุคคลพร้อมที่จะทำแล้วไม่ได้ทำ
เขาย่อมเกิดความไม่พอใจ
- เมื่อบุคคลไม่พร้อมที่จะทำแต่เขาต้องทำ
เขาย่อมเกิดความไม่พอใจ
2. กฎแห่งการฝึกหัด
แบ่งเป็น 2 กฎย่อย คือ
- กฎแห่งการได้ใช้ (Law of Use) มีใจความว่าพันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองจะเข้มแข็งขึ้นเมื่อได้ทำบ่อย
ๆ
- กฎแห่งการไม่ได้ใช้
(Law of Disuse) มีใจความว่าพันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้า
และการตอบสนองจะอ่อนกำลังลง เมื่อไม่ได้กระทำอย่างต่อเนื่องมีการขาดตอนหรือ
ไม่ได้ทำบ่อย ๆ
3.กฎแห่งความพอใจ
กฎข้อนี้นับว่าเป็นกฎที่สำคัญและได้รับความสนใจจาก
ธอร์นไดด์ มากที่สุด กฎนี้มีใจความว่า
พันธะหรือตัวเชื่อมระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองจะเข้มแข็งหรืออ่อนกำลัง
ย่อมขึ้นอยู่กับผลต่อเนื่องหลังจากที่ได้ตอบสนองไปแล้วรางวัล
จะมีผลให้พันธะสิ่งเร้าและการตอบสนองเข้มแข็งขึ้น ส่วนการทำโทษนั้นจะไม่มีผลใด ๆ
ต่อความเข้มแข็งหรือการอ่อนกำลังของพันธะระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองนอกจากกฎการเรียนรู้ที่สำคัญ
ๆ ทั้ง 3 กฎ นี้แล้วธอร์นไดด์ ยังได้ตั้งกฎการเรียนรู้ย่อย อีก 5 กฎ คือ 1.
การตอบสนองมากรูป (Law of multiple response)
2.
การตั้งจุดมุ่งหมาย (Law of Set or Attitude)
3. การเลือกการตอบสนอง (Law of Partial
Activity)
4. การนำความรู้เดิมไปใช้แก้ปัญหาใหม่ (Law of Assimilation or
Analogy)
5. การย้ายความสัมพันธ์ (Law
of Set or Associative Shifting)
การถ่ายโอนการเรียนรู้
(Transfer of Learning) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อการเรียนรู้หรือกิจกรรมในสถานการณ์หนึ่งส่งผลต่อการ
เรียนรู้หรือกิจกรรมในอีกสถานการณ์หนึ่ง
การส่งผลนั้นอาจจะอยู่ในรูปของการสนับสนุนหรือส่งเสริมให้สามารถเรียนได้ดี ขึ้น
(การถ่ายโอนทางบวก) หรืออาจเป็นการขัดขวางทำให้เรียนรู้หรือประกอบกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งได้ยาก
หรือช้าลง (การถ่ายโอนทางลบ) ก็ได้
การถ่ายโอนการเรียนรู้นับว่าเป็นพื้นฐานของการเรียนการสอน
ประโยชน์และการนำหลักการทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยงของ
ธอร์นไดด์ ไปใช้ในการเรียนการสอน
ธอร์นไดด์
มักเน้นอยู่เสมอว่าการสอนในชั้นเรียนต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน
การตั้งจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนก็หมายถึงการตั้งจุดมุ่งหมายที่สังเกตการตอบ
สนองได้และครูจะต้อง จัดแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วย ๆ ให้เขาเรียนทีละหน่วย
เพื่อที่ผู้เรียนจะได้เกิดความรู้สึกพอใจในผลที่เขาเรียนในแต่ละหน่วยนั้น
ธอร์นไดด์ ย้ำว่าการสอนแต่ละหน่วยก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยากเสมอ
การสร้างแรงจูงใจนับว่าสำคัญมากเพราะจะทำให้ผู้เรียนเกิดความพอใจเมื่อเขา
ได้รับสิ่งที่ต้องการหรือรางวัล รางวัลจึงเป็นสิ่งควบคุมพฤติกรรมของผู้เรียน
นั่นก็คือในขั้นแรกครูจึงต้องสร้างแรงจูงใจภายนอกให้กับผู้เรียน
ครูจะต้องให้ผู้เรียนรู้ผลการกระทำหรือผลการเรียน
เพราะการรู้ผลจะทำให้ผู้เรียนทราบว่าการกระทำนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง
ดีหรือไม่ดี พอใจหรือไม่พอใจ
ถ้าการกระทำนั้นผิดหรือไม่เป็นที่พอใจเขาก็จะได้รับการ แก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้อง
เพื่อที่จะได้รับสิ่งที่เขาพอใจต่อไป
นอกจากนี้ในการเรียนการสอนครูจะต้องสอนในสิ่งที่คล้ายกับโลกแห่งความจริงที่เขาจะออกไปเผชิญให้มากที่
สุด เพื่อที่นักเรียนจะได้เกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้จากการเรียนในชั้นเรียนไป
สู่สังคมภายนอกได้อย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น